18 กันยายน 2551

การนอนไม่หลับ ตอน การนอนของคนทำงานกะ

คนที่ทำงานเป็นกะคืนคนที่ทำงานขณะที่คนอื่นกำลังหลับ และเมื่อเขาเหล่านั้นพยายามที่จะหลับขณะที่คนอื่นกำลังตื่น บุคคลที่ทำงานเหล่านี้ได้แก่หน่วยงานที่ให้บริการ 24 ชั่วโมงเช่น แพทย์พยาบาล ตำรวจ ขนส่ง โรงงาน เขาเหล่านั้นกำลังเปลี่ยนนาฬิกาชีวิตตัวเอง เขากำลังเสี่ยงต่อสุขภาพ

ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ต้องการพักผ่อน คนเราก็เช่นกันก็ต้อพักผ่อน ร่างกายเรามีนาฬิกาชีวิตซึ่งจะบอกว่าเวลาไหนควรตื่นเวลาไหนควรนอนโดยมีความสัมพันธ์กับแสงและความมืด นอกจากจะคุมเรื่องเวลาหลับนอนนาฬิกาชีวิตยังคุม อุณหภูมิของร่างกาย ฮอร์โมนของร่างกาย ชีพขจร คนปกติจะง่วงนอนก่อนเที่ยงคืนจนถึง 6 นาฬิกาและตื่นในตอนเช้าและจะมาง่วงอีกครั้งตอนบ่าย ดังนั้นคนทำงานเป็นกะยากที่จะฝืนธรรมชาติทำให้ผู้ที่ทำงานเป็นกะนอนไม่หลับและมีปัญหานอนไม่พอ

เมื่อคุณนอนไม่พอจะเกิดผลเสียหลายประการคือ ความคิดและการเคลื่อนไหวจะช้าลง มีความผิดพลาดจากความคิดและการกระทำ ความจำเสื่อมลง เกิดอุบัติเหตุได้บ่อย โกรธง่าย เครียดและมีโรคซึมเศร้าได้บ่อย นอกจากนั้นผู้ที่ทำงานเป็นกะจะมีโรคกระเพาะอาหาร ประจำเดือนผิดปกติ ไข้หวัด และโรคอ้วนมากกว่าคนที่ทำงานปกติ

การเตรียมตัวนอนของผู้ที่ทำงานเป็นกะ
เมื่อเลิกจากเวรดึกจะกลับบ้านให้สวมแว่นดำเพื่อกันแสงจ้าที่กระตุ้นนาฬิกาชีวิต ให้รีบนอนให้เร็วที่สุด พยายามจัดสิ่งแวดล้อมให้รบกวนน้อยที่สุด เช่นสวมแว่นกันแสง ใช้สำลีอุดหู ห้ามเปิดทีวีหรือวิทยุเสียงดัง ห้ามรบกวน ห้ามสงเสียงดัง

การเตรียมตัวนอนหลับ

  • ทำงานที่ค้างให้เสร็จ
  • ก่อนนอนห้ามอ่านหนังสือ หรือดูทีวีที่เครียด หรืองานที่เครียด
  • อาบน้ำอุ่นก่อนนอน
  • ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็น
  • ปิดไฟห้องนอนให้มืด ติดม่านกันแสง
  • ใส่ที่อุดหู
  • ใช้เสียงพัดลมกลบเสียงอย่างอื่น
  • ใช้วัสดุกันเสียงในห้องนอน
  • อย่าลืมยกหูโทรศัพท์ออก
  • ไม่ดื่มสุราหรือกาแฟ
  • อย่าทานอาหารหนักก่อนนอน ให้รับประทานของว่าง
  • รับประทานยานอนหลับ

ขับรถกลับบ้านอย่างปลอดภัย

คนที่ทำงานเป็นกะเมื่อเวลาเลิกงานจะมีอาการง่วง ผู้ที่ขับกลับตอนเที่ยงคืนจะต้องขับรถเสี่ยงต่อคนขับที่เมา ส่วนผู้ที่ขับตอนเช้าก็จะง่วงเนื่องจากอดนอนทั้งคืน วิธีที่ปลอดภัยมีดังนี้

ถ้าง่วงมากให้งีบหลับก่อนกลับ

  • ใช้รถรับจ้าง
  • ให้ขับอย่างระวัง

ทำงานอย่างไรไม่ให้ง่วงเมื่อต้องทำงานเป็นกะ

  • ให้หยุดทำงานเป็นช่วงๆ
  • เวลาทำงานให้ทำงานร่วมกับเพื่อนและพุดคุยกับเพื่อนเพื่อคอยสังเกตอาการง่วงของแต่ละคน
  • ระหว่างที่พักให้ออกกำลังกาย เช่นการเดิน
  • รับประทานอาหาร 3 มื้อ
  • ถ้าดื่มกาแฟให้รีบดื่มเมื่อเริ่มเข้าเวร

สำหรับนายจ้าง

  • จัดสถานที่ทำงานให้สว่าง
  • จัดอาหารที่มีคุณภาพ
  • จัดตารางการทำงานเพื่อให้พักผ่อนอย่างพอเพียง และเพื่อให้ผู้ทำงานได้มีโอกาสที่จะมีความสุขกับครอบครัว
  • ให้นโยบายงีบหลับได้เป็นช่วง โดยการพักเป็นช่วงๆอย่างเหมาะสม
  • คำนึงถึงความปลอดภัยทั้งเดินทางมาทำงานและเดินทางกลับโดยอาจจะจัดรถรับส่ง

การนอนไม่หลับ ตอน ผู้สูงอายุกับการนอนหลับ

เมื่อย่างเข้าวัยสูงอายุร่างกายก็จะเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเป็นต้นว่า รับประทานอาหารไม่อร่อย สายตามัวลง เป็นต้อกระจก หูได้ยินไม่ชัด แต่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามอายุคือระยะเวลาที่ต้องการนอนคือยังคงเท่าเดิมประมาณวันละ 8 ชั่วโมงแต่คุณภาพในการนอนของผู้อายุลดลงจึงทำให้นอนไม่ค่อยพอ

มีหลายปัจจัยที่ทำให้การนอนของผู้สูงอายุไม่มีคุณภาพ เช่น การงีบหลับในเวลากลางวัน การนอนไม่เป็นเวลา การเข้านอนก่อนที่จะง่วง (advanced sleep phase syndrome) หรือเข้านอนเมื่อผ่านเวลานอนไปแล้ว (delayed sleep phase syndrome) หรือใช้เตียงเพื่อจุดประสงค์อื่นเช่นการดูทีวี การอ่านหนังสือ การรับประทานอาหารหรือมีสิ่งรบกวนในห้องนอน เช่นเสียงดัง มีแสง ห้องร้อน นอนจากปัจจัยภายนอนแล้วปัจจัยภายในของผู้ป่วยโรคต่างๆเช่น อาการปวดข้อ โรคหัวใจ ปัญหาทางจิตใจ ปัญหาทั้งหมดจะทำให้การนอนหลับในผู้สูงอายุมีคุณภาพลดลง

การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการนอนในผู้สูงอายุ
การนอนหลับของคนประกอบไปด้วย 5 ระยะคือระยะที่ 1-4และระยะ rapid eye movement ช่วงที่หลับสนิทมากที่สุดคือระยะ 3-4
  • ผู้สูงอายุจะมีช่วงเวลาที่หลับสนิทคือระยะที่3-4 ลดลงทำให้หลับไม่สนิท
  • ผู้สูงอายุจะนอนยากขึ้นมีรายงานว่าร้อยละ 24 ของผู้ป่วยสูงอายุใช้เวลามากกว่า 30 นาที่ในการนอนหลับ สาเหตุเนื่องจากการที่ร่างกายสร้าง melatonin และ growth hormone ลดลง การเจอแสงแดดลดลง และการที่ผู้ป่วยตื่นบ่อย เหล่านี้เป็นสาเหตุให้ผู้สูงอายุหลับยาก
โรคที่มีผลต่อการนอนของผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุมักจะมีโรคประจำตัว โรคประจำตัวหลายโรคก็มีผลต่อการนอนของผู้สูงอายุโรคต่างๆเหล่านี้ได้แก่
  • ข้ออักเสบ
  • กระดุกพรุน
  • โรคกระเพาะอาหาร
  • โรคมะเร็ง
  • โรค parkinson
  • โรค Alzheimer
  • โรคสมองเสื่อม dementia
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ Incontinence
  • โรคหัวใจวาย Congestive heart failure
  • โรคถุงลมโป่งพอง copd
รคปวดข้อปวดหลังมักจะปวดตอนกลางคืนทำให้ต้องตื่นบ่อย โรคหัวใจวายที่ยังคุมไม่ดีเมื่อนอนราบจะมีอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกต้องตื่นลุกขึ้นนั่งเมื่อหายแน่นจึงนอนต่อ การดูแลเรื่องการนอนหลับต้องรักษาปัจจัยเหล่านี้ด้วย
วัยทองกับการนอนหลับ หญิงวัยทองมีปัญหาการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับฮอร์โมนทำให้เกิดอาการร้อนตามตัวเหงื่อออก ทำให้ตื่นบ่อยและง่วงนอนเวลากลางวัน

12 กันยายน 2551

การนอนไม่หลับ ตอน การนอนหลับกับคุณผู้หญิง

คนปกติควรจะได้นอนวันละ 8 ชั่วโมงผู้หญิงก็เช่นกันควรจะนอนวันละ 8 ชั่วโมงเพราะหากนอนน้อยจะทำให้เกิดผลเสียเช่น ง่วงในเวลากลางวัน เกิดอุบัติเหตุ สมาธิไม่ดี เจ็บป่วยง่าย แต่สำหรับคุณผู้หญิงอาจจะมีปัญหาเรื่องการนอนเนื่องจากมีผลของฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้อง
ประจำเดือนกับการนอนหลับ

  • ระยะก่อนไข่ตกคือตั้งแต่วันที่ 1-12 ของรอบเดือน ระยะ5วันแรกจะมีประจำเดือนระยะนี้มีระดับ progesterone ต่ำอาจจะประสบปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ
  • ระยะไข่ตกคือวันที่ 13-14 ของรอบเดือน ถ้าไข่ไม่ได้รับการผสมอีก 14 วันก็จะเกิดรอบเดือนใหม่
  • ระยะหลังไข่ตกคือตั้งแต่วันที่ 15-28 ระดับ progesterone จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15-21 สูงสุดช่วงวันที่ 19-21 ช่วงนี้จะหลับได้ดี แต่หลังจากวันที่22 ระดับฮอร์โมนเริ่มลดอย่างรวดเร็วจะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หลับยาก ตื่นเร็ว และเกิดอาการก่อนมีประจำเดือน เช่นปวดท้อง อารมณ์แกว่ง ท้องอืด ปวดศีรษะ
วิธีการดูแลเมื่อนอนไม่หลับ
เมื่อคุณไม่หลับด้วยสาเหตุใดๆมีวิธีการที่จะช่วยให้คุณหลับได้ดีขึ้น
  • ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ไม่ควรออกกำลังกายก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมงการออกกำลังกายจะทำให้หลับสนิทมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารหรือน้ำหวานและอาหารเค็มรวมทั้งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟและสุราเนื่องจากสารดังกล่าวจะไปรบกวนการนอน
  • นอนให้เป็นเวลา ห้องต้องมืด เงียบ และเย็นพอสมควร ที่นอน หมอนต้องนอนสบาย
  • ปรึกษาแพทย์เมื่ออาการไม่ดีขึ้น

การตั้งครรภ์กับการนอนหลับ

การตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหลายอย่างเช่น ปวดตามตัว ปวดท้อง ตะคริว คลื่นไส้อาเจียน เด็กเคลื่อนไหวในท้อง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เหล่านี้จะมีผลต่อการนอนของคนท้อง

  • ตั้งครรภ์ระยะ 1-3 เดือนระยะนี้จะมีระดับ progesterone สูงทำให้ง่วงนอนนอนเก่ง แต่เนื่องจากจะมีอาการปัสสาวะบ่อยทำให้นอนไม่พอทำให้เกิดอาการง่วงและหลับในเวลากลางวันบ่อย
  • ตั้งครรภ์ระยะ 1-6 เดือนระดับฮอร์โมนยังสูงต่อเนื่องแต่จะขึ้นไม่เร็วเท่าช่วงแรกช่วงนี้หลับได้ดีขึ้น
  • ตั้งครรภ์ระยะ 7-9 เดือน ครรภ์เริ่มใหญ่ขึ้นทำให้นอนไม่สะดวก ปัสสาวะบ่อย แน่นท้องและปวดขาทำให้ต้องตื่นนอนกลางคืน
โรคที่ทำให้นอนไม่หลับในคนท้อง
การนอนกรนในคนท้อง
ร้อยละ 30 ของคนท้องจะนอนกรนเนื่องจากมีการบวมของเยื่อจมูกทำให้หายใจลำบาก การนอนกรนจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ถ้าหากการอุดทางเดินหายใจรุนแรงจะทำให้เกิดโรค sleep apnea คือจะนอนกรนดังมาก และมีช่วงหยุดหายใจเวลากลางคืน กลางวันจะง่วงมาก ควรปรึกษาแพทย์หากนอนกรนร่วมกับง่วงในเวลากลางวัน

Restless Legs and Poor Sleep
ร้อยละ 28 ของผู้หญิงจะมีอาการรู้สึกไม่สบายเท้า ชา ร้อน เหมือนมีอะไรในเท้าทำให้ต้องเคลื่อนไหวเท้ามักเป็นเวลาตอนเริ่มนอนทำให้นอนไม่พอ ยาที่ใช้รักษาอาการนี้อาจจะมีผลต่อเด็กควรปรึกษาแพทย์

วิธีการช่วยให้คนท้องหลับดีขึ้น

  • เมื่อครรภ์อายุมากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นให้นอนตะแคงซ้ายเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงเด็กและอวัยวะภายในได้มากขึ้น ไม่ควรนอนหงายเป็นระยะเวลานาน
  • ให้ดื่มน้ำมากๆในเวลากลางวันส่วนก่อนนอนให้ลดการดื่มน้ำลง
  • เพื่อป้องกันอาการปวดท้อง heart burn ให้รับประทานอาหารแต่ละมื้ออย่ามากเกินไป ลดอาหารเผ็ด อาหารเปรี้ยว ถ้าหากมีอาการแน่นท้องให้นอนหัวสูง
  • ออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ระบบไหวเวียนโลหิตดีและอาการตะคริวที่เท้า
  • ให้รับประทานของว่างบ่อยๆซึ่งจะลดอาการคลื่นไส้อาเจียน
  • ผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องใช้หมอนสำหรับคนท้อง
  • ให้งีบหลับบ้างในเวลากลางวัน
  • ปรึกษาแพทย์หากยังคงมีอาการอยู่
วัยทองกับการนอนหลับ
อาการของหญิงวัยทองแต่ละคนจะไม่เท่ากันคนที่เป็นวัยทองโดยธรรมชาติอาการจะไม่มากส่วนผู้ที่ตัดรังไข่จะมีอาการวัยทองค่อนข้างมาก อาการทีเกิดเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน estrogen ทำให้เกิดร้อนตามเนื้อตัวเหงื่อออกอาการนี้จะอยู่โดยเฉลี่ย 5 ปี การนอนหลับของผู้ป่วยวัยทองจะไม่มีคุณภาพตื่นบ่อยเนื่องจากร้อนตามตัว การรักษาถ้าอาการมากจะให้ฮอร์โมนเสริม ยาป้องกันโรคกระดูกพรุน มีรายงานว่าโสมและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่นเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ซึ่งมีสาร phyto-estrogen สามารถลดอาการของวัยทองได้

06 กันยายน 2551

การนอนไม่หลับ ตอน การนอนเป็นอาหารของสมอง

  • นอนให้พอเพียงกับที่ร่างกายต้องการ และให้นอนเมื่อง่วง
  • การนอนไม่พอจะทำให้ความสามารถในการเรียนลดลง หงุดหงิดง่าย มื่อยร้า โกรธง่าย
  • ให้กำหนดเวลานอนและเวลาตื่นให้แน่นอนไม่ว่าจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์หรือหยุดพักร้อน ทำให้ติดเป็นนิสัย ถ้าจำเป็นต้องเลื่อนให้เลื่อนได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงตอนนอน และตื่นไม่เกิน 2 ชั่วโมง
  • ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าวันหนึ่งต้องการนอนวันละกี่ชั่วโมง คนปกติต้องการวันละ8-9 ชั่วโมง ถ้าหากคุณรู้จะได้กำหนดเวลานอนและเวลาตื่นได้
  • หลังตื่นนอนให้เจอแสงสว่างทันทีซึ่งจะกระตุ้นให้ตื่น และหลีกเลี่ยงแสงจ้าในตอนค่ำ
  • ต้องเรียนรู้นาฬิกาชีวิตว่าง่วงช่วงไหน ช่วงไหนควรนอน เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่สี่ยงต่อความปลอดภัย
  • หลังอาหารมื้อเที่ยงให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกาแฟ แอลกอฮอลล์
  • ให้ผ่อนคลายก่อนเข้านอนโดยอย่าอ่านหนังสือที่เครียด อย่าเล่นเกมส์ อย่าดูทีวีบนเตียงนอน

30 สิงหาคม 2551

การนอนไม่หลับ ตอน การนอนหลับของเด็ก

เด็กทารกจะนอนไม่เป็นเวลา วันหนึ่งจะนอน 16-17 ชั่วโมงแต่ละครั้งจะนอนนาน 1-2 ชั่วโมงจนกระทั้ง 6 เดือน การนอนของเด็กจะเป็นเวลาขึ้น เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะนอนน้อยลง และนอนนานขึ้น แนวทางที่จะเสนอเป็นแนวทางที่จะทำให้เด็กหลับสบายขึ้นและหลับนานขึ้น

1.ดูแลเด็กด้วยความนุ่มนวล และเงียบ โดยการให้นมหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้นุ่มนวลรบกวนเด็กให้น้อยที่สุด และให้เงียบ
2.พยายามเล่นกับเด็กในเวลากลางวันเพื่อให้เด็กง่วงในเวลากลางคืน
3.ทันทีที่เด็กง่วงนอนให้นำเด็กเข้านอน อย่าไกวแปลหรืออุ้มจนเด็กหลับ
4. หลีกเลียงให้เด็กดูดหัวนมปลอมตอนนอน นอกจากเด็กจะติดจริงๆ หลังจากหลับให้เอาหัวนมปลอมออก 5.เมื่อเด็กร้องอย่ารีบไปดูเด็กเพราะเด็กอาจจะหลับได้อีก ถ้าเด็กไม่หยุดร้องรอ 2-3 นาทีเวลาเข้าไปดูอย่าเปิดไฟ อย่าอุ้ม อย่าไกวเปล ถ้ายังร้องอีกให้ตรวจดูว่าเด็กหิวหรือไม่ เด็กปัสสาวะหรือไม่
6.เมื่อเด็กอายุได้ 2-3 เดือนควรแยกเตียงนอน เนื่องจากหากเด็กมีพี่ที่ตื่นเด็กจะไม่ยอมนอน
7.ก่อนเข้านอนให้เด็กสงบโดยการอ่านหนังสือ เล่านิทาน หรือร้องเพลง หรืออาบน้ำอุ่นก่อนนอน
8.จัดเวลานอนและตื่นให้แน่นอน
9. อาจจะให้เด็กนำสิ่งที่ชอบไปด้วย เช่นตุ๊กตา ผ้าห่ม หมอนเป็นต้นแต่ต้องระวังอันตรายจากของนั้นด้วย 10.จักห้องให้เหมาะสม เช่น เย็นพอควร แสงมืดๆ เสื้ออย่าคับเกินไป
11.อย่าให้เด็กนอนด้วยเนื่องจากเด็กจะปรับตัวนอนคนเดียวได้ยาก
12.เมื่อเด็กร้องอย่าเข้าไปทันทีทุกครั้ง

ให้รอ 1-2 นาทีค่อยตอบเด็ก แล้วค่อยเพิ่มระยะเวลาที่ตอบให้เด็กนอนเอง
ให้เด็กมั่นใจว่าว่าแม่ยังอยู่ไม่ได้ทิ้ง
หลังจากให้ความมั่นใจเด็กแล้วรีบออกจากห้องให้เด็กหลับเอง

ปัญหาการนอนของเด็ก

การฝันร้าย
ฝันร้ายในเด็กมักจะพบบ่อยในเด็กมักจะเกิดในช่วงที่เด็กหลับสนิทช่วงเวลา 4 -6 นาฬิกา เด็กจะตื่นและมาหาท่านพร้อมทั้งสามารถเล่าความฝันได้ อาจจะฝันเรื่อปีศาจ เด็กจะร้องไห้ หายใจหอบเด็กอาจจะไม่ยอมไปหลับและอาจจะฝันซ้ำๆ อาการฝันร้ายอาจจะเป็นถึงวัยรุ่นจึงหายไป สาเหตุเกิดจากเด็ได้รับความกระทบกระเทือนจากจิตใจ และการเจ็บป่วยทางร่างกาย ถ้าหากการฝันร้ายทำให้เด็กนอนไม่หลับควรที่จะตรวจสอบว่าเด็กมีเรื่องเครียดอะไรบ้าง การฝันร้ายอาจจะทำให้เด็กง่วงในตอนกลางวันควรปรึกษาแพทย์ประจำครอบครัว

ละเมอ
เด็กจะพูดได้ 30 วินาที ความหมายไม่ต่อเนื่อง เด็กจะหายได้เองไมต้องรักษา

เดินละเมอ
อาการจะเกิดหลังจากนอนหลับไป 2-3 ชั่วโมง เด็กจะลุกนั่งและเดินไปมา เด็กอาจจะเดินรอบบ้าน เปิดประตูได้เด็กอาจจะเดินกลับที่นอนแล้วนอนต่อ ถามเด็กตอนเช้าเด็กจะจำเหตุการณ์ไม่ได้ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์บ่อยอาจจะต้องป้องกันอุบัติเหตุโดยการเก็บของที่เป็นอันตราย ปิดประตูล็อกกุญแจ อาการนี้จะหายไปเมื่อเป็นวัยรุ่น

19 สิงหาคม 2551

การนอนไม่หลับ

การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนเราใช้เวลาหนึ่งในสามในการนอนแต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนอนเท่าใด คนเราจะมีช่วงที่ง่วงนอน 2ช่วงคือกลางคืน และตอนเที่ยงวันจึงไม่แปลกใจกับคำว่าท้องตึงหนังตาหย่อนในตอนเที่ยง
กลไกการนอนหลับ
เมื่อความมืดมาเยือนเซลล์ที่จอภาพ[retina] จะส่งข้อมูลไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ใน hypothalamus ซึ่งจะเป็นที่สร้างสาร melatonin สาร
melatonin สร้างจาก tryptophan ทำให้อุณหภูมิลดลงและเกิดอาการง่วง การนอนของคนปกติแบ่งออกได้ดังนี้

1. การนอนช่วง Non-rapid eye movement {non- (REM) sleep} การนอนในช่วงนี้มีความสำคัญมากเพราะมีส่วนสำคัญในการทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาการและมีการหลั่งของฮอร์โมนที่เร่งการเติบโต growth hormone การนอนช่วงนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่โดยการหลับจะเริ่มจากระยะที่1ไปจน REMและกลับมาระยะ 1 ใหม่
  • Stage 1 (light sleep) ระยะนี้ยังหลับไม่สนิทครึ่งหลับครึ่งตื่น ปลุกง่าย ช่วงนี้อาจจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เรียกว่า hypnic myoclonia มักจะตามหลังอาการเหมือนตกที่สูง ระยะนี้ตาจะเคลื่อนไหวช้า
  • Stage 2 (so-called true sleep).ระยะนี้ตาจะหยุดเคลื่อนไหวคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ rapid waves เรียก sleep spindles
  • Stage 3 คลื่นไฟฟ้าสมองจะมีลักษณะ delta waves และ Stage 4ระยะนี้เป็นระยะที่หลับสนิทที่สุดคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ delta waves ทั้งหมด ระยะ3-4 จะปลุกตื่นยากที่สุดตาจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายจะไม่เคลื่อนไหว เมื่อปลุกตื่นจะงัวเงีย

2. การนอนช่วง Rapid eye movement (REM) sleep จะเกิดภายใน 90 นาทีหลังจากนอนช่วงนี้เมื่อทดสอบคลื่นสมองจะเหมือนคนตื่น ผู้ป่วยจะหายใจเร็ว ชีพขจรเร็ว กล้ามเนื้อไม่ขยับ อวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อคนตื่นช่วงนี้จะจำความฝันได้

เราจะใช้เวลานอนร้อยละ50ใน Stage 2 ร้อยละ 20ในระยะ REM ร้อยละ30 ในระยะอื่นๆ การนอนหลับครบหนึ่งรอบใช้เวลา 90-110นาที คนปกติต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมงโดยหลับตั้งค่ำจนตื่นในตอนเช้า คนสูงอายุการหลับจะเปลี่ยนไปโดยหลับกลางวันเพิ่มและตื่นกลางคืน จำนวนชั่วโมงในการนอนหลับแต่ละคนจะไม่เหมือนกันบางคนนอนแค่วันละ 5-6 ชั่วโมงโดยที่ไม่มีอาการง่วงนอน

อาการนอนไม่หลับ ไม่ใช่โรคแต่เป็นภาวะหลับไม่พอทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น บางคนอาจจะหลับยากใช้เวลามากว่า 30นาทียังไม่หลับ บางคนตื่นบ่อยหลังจากตื่นแล้วหลับยาก บางคนตื่นเช้าเกินไป ทำให้ตื่นแล้วไม่สดชื่น ง่วงเมื่อเวลาทำงาน อาการนอนไม่หลับมักจะเป็นชั่วคราวเมื่อภาวะกระตุ้นหายก็จะกลับเป็นปกติแต่ถ้าหากมีอาการเกิน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นอาการเรื้อรัง

การวินิจฉัย แพทย์จะถามคำถาม 4 คำถามได้แก่

  • ให้อธิบายว่ามีปัญหานอนไม่หลับเป็นอย่างไร
  • นอนไม่หลับเป็นมานานเท่าใด
  • เป็นทุกทุกคืนหรือไม่
  • สามารถทำงานตอนกลางวันได้หรือไม่

แพทย์จะค้นหาว่าอาหารนอนไม่หลับนั้นเกิดจากโรค จากยา หรือจากจิตใจ

คนเราต้องการนอนวันละเท่าใด ความต้องการการนอนไม่เท่ากันในแต่ละคนขึ้นกับอายุ ทารกต้องการนอนวันละ 16 ชั่วโมง วัยรุ่นต้องการวันละ 9 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ต้องการวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่คนบางคนก็อาจจะต้องการนอนน้อยเหลือเพียงวันละ 5 ชั่วโมง หากนอนไม่พอร่างกายต้องการการนอนเพิ่มในวันรุ่งขึ้น เราอาจจะทราบว่านอนไม่พอโดยดูจาก

  • เวลาทำงานคุณมีอาการง่วงหรือซึมตลอดวัน
  • อารมณ์แกว่งโกรธง่ายโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน
  • หลับภายใน 5 นาทีหลังจากนอน
  • บางคนอาจจะหลับขณะตื่นโดยที่ไม่รู้ตัว

ทั้งหมดเป็นการแสดงว่าคุณนอนไม่พอคุณต้องเพิ่มเวลานอนหรือเพิ่มคุณภาพของการนอน

การนอนหลับจำเป็นอย่างไรต่อร่างกาย ร่างกายเราเหมือนเครื่องจักรทำงานตลอดเวลาการนอนเหมือนให้เครื่องจักรได้หยุดทำงาน สะสมพลังงานและขับของเสียออก การนอนจึงจำเป็นสำหรับร่างกายมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีการศึกษาว่าการนอนไม่พอจะมีอันตรายการประสานระหว่างมือและตาจะเหมือนกับผู้ที่ได้รับสารพิษ ผู้ที่นอนไม่พอหากดื่มสุราจะทำให้ความสามารถลดลงอ่อนเพลียมาก การดื่มกาแฟก็ไม่สามารถทำให้หายง่วง
มีการทดลองในหนูพบว่าหากนอนไม่พอหนูจะมีอายุสั้น ภูมิคุ้มกันต่ำลง สำหรับคนหากนอนไม่พอจะมีอาการง่วงและไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ความสามารถในการคำนวณด้อยลง หากยังนอนไม่พอจะมีอาการภาพหลอน อารมณ์จะแกว่ง การนอนไม่พอเป็นสาเหตุของอุบัติต่างๆ เชื่อว่าเซลล์สมองหากไม่ได้นอนจะขาดพลังงานและมีของเสียคั่ง นอกจากนั้นการนอนหลับสนิทจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (growth hormone)

จะปรึกษาแพทย์เมื่อไร ถ้าหากอาการนอนไม่หลับเป็นมากกว่า 1 สัปดาห์ หรือทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลากลางวัน ก่อนพบแพทย์ควรทำตารางสำรวจพฤติกรรมการนอนประมาณ 10 วันเพื่อให้แพทย์วินิจฉัย ในการรักษาแพทย์จะแนะนำเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการนอน ถ้าไม่ดีจึงจะให้ยานอนหลับ
การนอนหลับอย่างพอเพียงทั้งระยะเวลาและคุณภาพของการนอนหลับจะเป็นปัจจัยในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีเหมือนกับการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพและการออกกำลังกาย

การนอนไม่หลับ ตอน สาเหตุของการนอนไม่หลับ

แบ่งได้เป็นเหตุใหญ่ๆ ดังนี้
1. สาเหตุจากทางด้านจิตใจ (Psychologic Causes of Insomnia) ผู้ป่วยจำนวนมากเกิดจากทางด้านจิตใจ เช่นโรคเครียด โรคซึมเศร้า ผู้ป่วยกลุ่มนี้ร้อยละ 70 จะมีอาการนอนไม่หลับเป็นอาการสำคัญ 2. ปัจจัยกระตุ้นให้นอนไม่หลับ (Precipitating Factors of Transient Insomnia) มักจะเป็นชั่วคราวเช่น
  • Adjustment Sleep Disorder เป็นภาวะนอนไม่หลับที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นที่เพิ่งเกิด เช่นผลจากความเครียด จากการเจ็บป่วย ผ่าตัด การสูญเสียของรัก จากงาน เมื่อปัจจัยกระตุ้นหายอาการนอนไม่หลับจะกลับสู่ปกติ
  • Jet Lag ผู้ป่วยเดินบินข้ามเขตเวลาทำให้เปลี่ยนเวลานอนร่างกายปรับตัวไม่ทันจะทำให้นอนยาก
  • Working Conditions เช่นคนที่เข้าเวรเป็นกะๆทำให้นาฬิกาชีวิตเสียไป ทำให้นอนไม่เป็นเวลา
  • Medications นอนไม่หลับจากยา เช่นกาแฟ ยาลดน้ำมูก

3. นอนไม่หลับจากโรค Medical and Physical Conditions หากคุณมีโรคบางโรคก็อาจจะทำให้คุณนอนไม่หลับเช่น

  • โรคบางโรคขณะเกิดอาการจะทำให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับ เช่นโรคหอบหืด โรคหัวใจวาย ภูมิแพ้ โรคสมองเสื่อม Alzheimer โรคparkinson โรคคอพอกเป็นพิษ
  • ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ฮอร์โมน progesteron จะทำให้ง่วงนอนช่วงไข่ตกจะมีฮอร์โมน progesteron สูงทำให้ง่วงนอน แต่ช่วงใกล้ประจำเดือนฮอร์โมนจะน้อยทำให้อาจจะมีอาการนอนไม่หลับ การตั้งครรภ์ระยะแรกและระยะใกล้คลอดจะมีอาการนอนไม่หลับเนื่องจากเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงแรกของหญิงวัยทองก็มีอาการนอนไม่หลับเช่นกัน
  • นอนไม่หลับจากการเปลี่ยนเวลานอน Delayed Sleep-Phase Syndrome เมื่อถึงเวลานอนแต่ไม่ได้นอนทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน

4. ปัจจัยส่งเสริมอาการนอนไม่หลับ Perpetuating Factors มีหลายภาวะที่ส่งเสริมให้นอนไม่หลับ

  • Psychophysiological Insomnia เกิดจากนอนก่อนเวลานอนแล้วนอนไม่หลับ เรียก Advanced sleep phase Syndrome ทำให้คนผู้นั้นพยายามที่จะนอน กระสับกระส่าย พลิกตัวไปมา ไม่ผ่อนคลายจนกลายเป็นความเครียด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะ ชีพขจรเร็ว ตื่นง่าย อุณหภูมิจะสูงกว่าปกติ
  • นอนไม่หลับจากสารบางชนิด เช่นกาแฟ สุรา การดื่มกาแฟหรือสุราตอนกลางวันถึงกลางคืนอาจจะทำให้นอนไม่หลับในเวลากลางคืน การดื่มสุราเล็กน้อยก่อนนอนจะช่วยลดความเครียดทำให้หลับดีขึ้นแต่ถ้าหากดื่มมากจะทำให้หลับไม่นานตื่นง่าย ช่วงที่อดสุราก็จะมีปัญหาหลับยาก ผู้ที่สูบบุหรี่จะนอน 3-4 ชั่วโมงแล้วตื่นเนื่องจากระดับ nicotin ลดลง
  • การที่ระดับ melatonin ลดลงระดับ melatonin จะมีมากในเด็กและลดลงในผู้ใหญ่หลังอายุ 60 ปีจะมีน้อยมาก
  • จากแสง จากความรู้ข้างต้นแสงจะกระตุ้นให้ตื่นแม้ว่าจะรี่แสงแล้วก็ตาม
  • นอนไม่หลับในวัยเด็ก พ่อแม่ที่เวลานอนไม่สม่ำเสมอจะทำให้เด็กนอนไม่หลับในตอนโต
  • การออกกำลังตอนใกล้เข้านอน การทำงานที่เครียดก่อนนอน
  • การที่นอนและตื่นไม่เป็นเวลา
  • สิ่งแวดล้อมในห้องนอนไม่ดี เช่นร้อน หนาว แสงจ้าไป เสียงดังไป รวมทั้งลักษณะการนอนของคนใกล้ชิด เช่นนอนดิ้น นอนกรนเป็นต้น
    หากท่านยังไม่ทราบสาเหตุให้กรอกตารางสำรวจสาเหตุการนอนไม่หลับความต้องการการนอนไม่เท่ากันในแต่ละคนขึ้นกับอายุ ทารกต้องการนอนวันละ 16 ชั่วโมง วัยรุ่นต้องการวันละ 9 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ต้องการวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่คนบางคนก็อาจจะต้องการนอนน้อยเหลือเพียงวันละ 5 ชั่วโมง หากนอนไม่พอร่างกายต้องการการนอนเพิ่มในวันรุ่งขึ้น

08 สิงหาคม 2551

ความรู้เพื่อการนอนหลับที่ดี

มองและร่างกายใช้เวลาช่วงนอนหลับในการบำรุงซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สึกหรอ เพื่อให้ร่างกายมีประสิทธิภาพที่ดีในการทำงาน ในวันรุ่งขึ้น การนอนหลับที่เพียงพอ จึงมีความสำคัญต่อ คุณภาพชีวิต ที่ดีของเรา หากท่านสังเกตดูคนที่นอนไม่เพียงพอ หรืออดนอนนานๆ ประสิทธิภาพต่างๆ ในการทำงานจะลดลงเนื่องจากสมองล้า ร่างกาย อ่อนเพลีย และขาดสมาธิ นอกจากนี้ในผู้ที่นอนไม่หลับเรื้อรัง อาจมี ความวิตกกังวลตึงเครียดง่าย โดยเฉพาะอย่างช่วงเวลาจะเข้านอน เตียงนอนอาจเป็น ที่ไม่สบอารมณ์ได้ง่าย เมื่อถึงเวลานอนเวลานอนกลายเป็นที่ๆ ทำให้วิตก กังวลเมื่อนึกถึงว่า คืนนี้จะหลับได้หรือไม่ หรือคืนนี้คงไม่หลับ อีกตามเคย
ย่างไรก็ตาม อาการนอนไม่หลับและอาการวิตกกังวล ตึงเครียด เหล่านี้สามารถลดลงหรือหายไปได้ หากมีการปฏิบัติสุขอนามัยการนอนหลับ (sleep hygiene) และฝึกให้มีพฤติกรรมที่ส่งเสริมการนอนหลับ ซึ่งทุกคนสามารถปฏิบัติได้เอง
ารเข้านอนและตื่นนอนตรงเวลาทุกวันจะทำให้เกิดความเคยชิน อยากนอนและตื่นเมื่อถึงเวลา และหากในคืนที่ถัดมาท่านนอนดึกกว่าปกติ ท่านควรตื่นสายหน่อยหรือตรงเวลาเดิมดี คำตอบที่ถูกคือ พยายามตื่นตรง เวลา แม้ท่านจะง่วงในระหว่างวันบ้าง แต่ตกดึกท่านจะหลับได้อย่างรวดเร็ว ลุกจากเตียงนอนทันทีเมื่อตื่น เปิดหน้าต่างสัมผัสแสงสว่างช่วงเช้าๆ (6-7 นาฬิกา) กายบริหารหลังตื่นเบาๆ สัก 10-15 นาที ก่อนทำกิจกรรม อื่นต่อไป จะช่วยให้สมองและร่างกายตื่นตัว สามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้ดีกว่า
ลีกเลี่ยงการงีบหลับในระหว่างวัน เพราะจะรบกวนการนอนที่ต่อเนื่อง ในตอนกลางคืนได้ สำหรับท่านที่ง่วงจนทนไม่ไหวอาจงีบช่วงกลางวันสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาที กายบริหาร หรือออกกำลังกายสม่ำเสมออย่าง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วงเช้าตรู่หรือตอนเย็น จะช่วยลดความตึงเครียดทางร่างกายและอารมณ์ แต่ไม่ควรปฏิบัติค่ำเกินไป เพราะจะรบกวนการนอนหลับได้
ย่าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ช่วงเย็นถึงก่อนนอน ไม่ควรดื่ม คาเฟอีน เกินวันละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงการดื่มกาเฟอีนช่วงบ่ายลงๆ ถึงเวลานอน อย่าสูบ บุหรี่ก่อนนอนหรือกลางดึก
ย่านอนเล่นนานๆ บนเตียงไม่ใช้เตียงนอนเป็นที่สำหรับอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือทำงานอื่นๆ การปฏิบัติกิจกรรมที่ไม่ใช่การนอนหลับบนเตียง จะเร้า ความรู้สึกตื่นในขณะที่เราอยากหลับได้
รับอุณหภูมิที่พอดีในขณะหลับ ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป ห้องนอน ที่เงียบและมืด จะช่วยให้เกิดการนอนหลับที่ดี อาหารมื้อเย็นควรเป็นอาหารมื้อเบาๆ หลีกเลี่ยงอาหารประเภท เนื้อ หรือ โปรตีนมากๆ และหากทานอาหารมื้อก่อนนอนด้วย ควรเป็นเพียงนมหรือ อาหารประเภทมอลล์สกัด น้ำผลไม้ก็เพียงพอแล้ว การนอนหลับจะเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายและอารมณ์อยู่ในสภาพผ่อนคลาย ดังนั้นขณะเข้านอนหากร่างกายและอารมณ์อยู่ในสภาพตึงเครียดไม่ผ่อนคลาย จะไม่สามารถหลับลงอย่างง่ายดาย จึงควรจัดช่วงเวลาสำหรับผ่อนคลายอารมณ์เป็นกิจวัตรประจำวัน ช่วง 1-2 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน โดยหลีกเลี่ยง การทำงานหรือกิจกรรมที่ตึงเครียด 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน และหากท่าน เป็นคนตึงเครียดง่าย หรือมีเรื่องที่ต้องขบคิดจำนวนมากตลอดวัน แนะนำ ให้ปฏิบัติดังนี้ใช้เวลาช่วงสั้นๆ หลังอาหารมื้อเย็น จดลำดับเรื่องต่างๆ ที่ทำให้ คิด หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้า และวางแผนจัดการ แต่ละเรื่อง อย่างคร่าวๆ สั้นๆ ให้ปฏิบัติทุกวันจนเคยชิน และหากท่านเข้านอน 15-30 นาที แล้วยังไม่หลับ ให้ลุกจากเตียง หาอะไร ทำเบาๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เปิดเฉพาะแสงไฟอ่อนๆ หลีกเลี่ยงการดูทีวี ฟังข่าว (เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ตื่น) กลับมาที่เตียง เมื่อง่วงเท่านั้น อย่านอนแช่ อยู่บนเตียงโดยไม่หลับถึงเช้า เพราะจะกระตุ้น ให้เกิดความวิตกกังวล เมื่อเข้า นอนในคืนถัดๆ มาหากไม่ง่วงเลย อาจใช้ยา ช่วยให้หลับเป็นครั้งคราวได้
ารปฏิบัติสุขอนามัยการนอนที่ถูกต้อง และการขจัดพฤติกรรม ที่รบกวนการนอน ฝึกให้มีพฤติกรรม ที่ส่งเสริมการนอนหลับที่ดี ควรปฏิบัติ ต่อเนื่องอย่างน้อย 6-10 สัปดาห์ พบว่า ช่วยให้เกิดการนอนหลับที่ง่ายขึ้นในผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการนอนไม่หลับควรปฏิบัติ สุขอนามัยการ นอนหลับ และปรับพฤติกรรมการนอนตั้งแต่แรก จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา นอนไม่หลับ เรื้อรังได้ในผู้ที่ใช้ยาช่วยให้หลับต่อเนื่องมานานกว่า 3-6 เดือน หากหยุดยา ทันทีอาจเกิดอาหารนอนไม่หลับใหม่ จำเป็นต้องค่อยๆ ลดยาลงเรื่อยๆ ร่วมกับการปฏิบัติดังกล่าวข้างต้น จนสามารถ หยุดยาลงได้ในที่สุด

29 กรกฎาคม 2551

Quiz#2 Employee Self Services (ESS)

ERP ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning หมายถึง การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดของทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรEmployee
Self Service (ESS) คือ ระบบการบริหารงานบุคคล ระบบใหม่ ทางบริษัทฯ ได้พัฒนามาโดยทำงานภายใต้ Organization หรือ ตามผังองค์กร โดยสามารถแบ่งระดับตามความเหมาะสม ที่ได้จัดทำขึ้นมาเพื่อลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ด้วยระบบ Work Flow ตามระบบไปยังผู้รับภายในองค์กร เพื่อให้มีความสะดวกรวดเร็ว และตรวจสอบได้ พนักงานสามารถใช้ application ที่เกี่ยวข้องกับการงานข้อมูลของลูกจ้าง เช่น ข้อมูลส่วนตัว สวัสดิการ ค่าล่วงเวลา ค่าตอบแทนต่างๆ โดยทางบริษัทฯ สามารถกำหนดสิทธิการเข้าใช้ของพนักงานได้
ระบบ ESS มี 3 รูปแบบ โดยให้บอกข้อดีข้อด้อย
แบบที่ 1 เป็นแบบที่ Direct to ERP
ข้อดี
1.ระบบมีความซับซ้อนน้อยทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย
2.การกำหนดฟังก์ชันในการใช้งานสามารถสร้างได้ง่าย
ข้อด้อย
1.การใช้งานมีความยุ่งยากใช้งานยาก เพราะไม่มีในส่วยช่วยในการจัดการ
2.User จะเข้ามาใช้ระบบน้อยอันเนื่องมาจากวิธีการใช้งานกระทำได้ยาก
แบบที่ 2 เป็นแบบ Indirect to ERP or other application Read only
ข้อดี
1.ระบบมีส่วนในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นมาทำให้ User สามารถเข้าถึงฟังก์ชันการใช้งานได้ง่าย
2.ระบบสามารถกำหนดสิทธิในการทำงานระบบให้กับ User ได้
3.สามารถกำหนดให้มีส่วนต่างๆ แยกออกจากกัน ทำให้ใช้งานได้ง่าย
ข้อด้อย
1.ระบบมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในส่วนของการบริหารจัดการ
2.ระบบจะสามารถใช้งานแบบ Read only ซึ่งไม่สามารถปรับหรือเพิ่มการทำงานได้ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งาน
แบบที่ 3 เป็นแบบ Indirect to ERP or other application
ข้อดี
1.ระบบมีส่วนในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นมาทำให้ User สามารถเข้าถึงฟังก์ชันการใช้งานได้ง่าย
2.ระบบสามารถกำหนดสิทธิในการทำงานระบบให้กับ User ได้
3.สามารถกำหนดให้มีส่วนต่างๆ แยกออกจากกัน ทำให้ใช้งานได้ง่าย และระบบสามารถปรับปรุง-เพิ่มฟังก์ชันการทำงานทำให้ระบบมีความเสถียรภาพ ใช้ได้กับกิจการที่มีแผนกจำนวนมาก และมีขั้นตอนในการทำงานมาก ระบบจะสามารถปรับ-แก้ไข-เพิ่มเติม ให้
ข้อด้อย
1.ระบบมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในส่วนของการบริหารจัดการ
2.ต้องมีผู้ดูแลระบบที่มีความเชี่ยวชาญ
ถ้าท่านเลือก Implement ในบริษัทของท่าน จะเลือกรูปแบบไหน? เพราะอะไร ?
-เลือกใช้แบบที่ 3 เนื่องมากจากในบริษัทมีแผนกที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก โดยมีฟังก์ชันในการใช้งานในแต่ละแผนกที่แตกต่างกัน และระบบงานจะมีการเพิ่มข้อมูลอยู่ตลอดเวลา จึงจำเป็นที่จะต้องมีส่วนบริหารจัดการ ESS และต้องมีการกำหนดสิทธิของพนักงานในการใช้งานด้วย โดยระบบมีการเตรียมรองรับการปรับหรือเพิ่มฟังก์ชันสำหรับในอนาคต และทางบริษัทประกอบกิจการเกี่ยวกับทางด้าน IT จึงมีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารระบบได้ทั้งทางด้านอุปกรณ์ และโปรแกรมโดยไม่ต้องจ้างผู้ดูแลระบบมาโดยเฉพาะ
493-04-1058 นายยุทธคม โคตรคำ
493-04-1060 นายโยธิน หวังผล
493-04-1004 นายศักดิ์ชัย พันธ์ทวีสุขเจริญ
493-04-1009 น.ส.โชติกา เหลี่ยมสุวรรณ
493-04-1050 น.ส.สุวรรณี ศรี สุพรรณถาวร

24 กรกฎาคม 2551

Quiz#2 Employee Self Services (ESS)

ERP ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning หมายถึง การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดของทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร

Employee Self Service (ESS) คือ ระบบการบริหารงานบุคคล ระบบใหม่ ทางบริษัทฯ ได้พัฒนามาโดยทำงานภายใต้ Organization หรือ ตามผังองค์กร โดยสามารถแบ่งระดับตามความเหมาะสม ที่ได้จัดทำขึ้นมาเพื่อลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ด้วยระบบ Work Flow ตามระบบไปยังผู้รับภายในองค์กร เพื่อให้มีความสะดวกรวดเร็ว และตรวจสอบได้ พนักงานสามารถใช้ application ที่เกี่ยวข้องกับการงานข้อมูลของลูกจ้าง เช่น ข้อมูลส่วนตัว สวัสดิการ ค่าล่วงเวลา ค่าตอบแทนต่างๆ โดยทางบริษัทฯ สามารถกำหนดสิทธิการเข้าใช้ของพนักงานได้

ระบบ ESS มี 3 รูปแบบ โดยให้บอกข้อดีข้อด้อย
แบบที่ 1 เป็นแบบที่ Direct to ERP
ข้อดี
1.ระบบมีขนาดเล็ก ทำให้ประหยัดทรัพยากร
2.การกำหนดฟังก์ชันในการใช้งานสามารถสร้างได้ง่าย
ข้อด้อย
1.การใช้งานมีความยุ่งยากในการใช้ เพราะไม่มีในส่วยช่วยในการจัดการ
2.User จะเข้ามาใช้ระบบน้อยอันเนื่องมาจากวิธีการใช้งานกระทำได้ยาก

แบบที่ 2 เป็นแบบ Indirect to ERP or other application Read only
ข้อดี
1.ระบบมีส่วนในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นมาทำให้ User สามารถเข้าถึงฟังก์ชันการใช้งานได้ง่าย
2.ระบบสามารถกำหนดสิทธิในการทำงานระบบให้กับ User ได้
ข้อด้อย
1.ระบบมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในส่วนของการบริหารจัดการ
2.ระบบจะสามารถใช้งานแบบ Read only ซึ่งไม่สามารถปรับหรือเพิ่มการทำงานได้ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งาน

แบบที่ 3 เป็นแบบ Indirect to ERP or other application
ข้อดี
1.ระบบมีส่วนในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นมาทำให้ User สามารถเข้าถึงฟังก์ชันการใช้งานได้ง่าย
2.ระบบสามารถกำหนดสิทธิในการทำงานระบบให้กับ User ได้
3.ระบบสามารถปรับปรุง-เพิ่มฟังก์ชันการทำงานทำให้ระบบมีความเสถียรภาพ ใช้ได้กับกิจการที่มีแผนกจำนวนมาก และมีขั้นตอนในการทำงานมาก ระบบจะสามารถปรับ-แก้ไข-เพิ่มเติม ให้
ข้อด้อย
1.ระบบมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในส่วนของการบริหารจัดการ
2.ต้องมีผู้ดูแลระบบที่มีความเชี่ยวชาญ

ถ้าท่านเลือก Implement ในบริษัทของท่าน จะเลือกรูปแบบไหน? เพราะอะไร ?
-เลือกใช้แบบที่ 3 เนื่องมากจากในบริษัทมีแผนกที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก โดยมีฟังก์ชันในการใช้งานในแต่ละแผนกที่แตกต่างกัน และระบบงานจะมีการเพิ่มข้อมูลอยู่ตลอดเวลา จึงจำเป็นที่จะต้องมีส่วนบริหารจัดการ ESS และต้องมีการกำหนดสิทธิของพนักงานในการใช้งานด้วย และทางบริษัทประกอบกิจการเกี่ยวกับทางด้าน IT จึงมีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารระบบได้ทั้งทางด้านอุปกรณ์ และโปรแกรมโดยไม่ต้องจ้างผู้ดูแลระบบมาโดยเฉพาะ

493-04-1047 นส.กรวิกานต์ สุขกาย

10 กรกฎาคม 2551

บอกนิสัยจากผ้าปูที่นอนผืนโปรด‏

บอกนิสัยจากผ้าปูที่นอนผืนโปรด‏

ลายดอกไม้
เป็นลายยอดนิยมทีเดียว ใครชอบผ้าปูที่นอนลายดอกไม้ที่อ่อนหวานชวนฝัน บอกได้เลยว่าคุณเป็นคนแสนโรแมนติก ขี้สงสารและเห็นใจคนอื่น เป็นคนละเอียดอ่อนและชอบสังคมอีกด้วย

ลายตาราง
ไม่ว่าจะเป็นลายตารางเล็กหรือใหญ่หรือลายสกอต แสดงว่าคุณเป็นคนแอ็กทีฟ คิดไวทำไว แต่ออกจะเป็นคนขวานผ่าซาก โกรธง่ายหายเร็ว ข้อสำคัญคือเป็นคนขี้ลืมอย่างไม่น่าให้อภัยเลย

ลายกราฟิก
โดยเฉพาะภาพแปลก ๆ สีสันสะดุดตา บอกได้เลยว่าคุณเป็นพวกไอเดียบรรเจิด ชอบใช้ความคิด ใช้สมองและวางแผนเก่ง เป็นคนแสวงหาความแปลกใหม่ในชีวิต รวมทั้งชอบเก็บตัวด้วย

ลายการ์ตูน
คนโนเนะที่เลือกซื้อผ้าปูที่นอนลายการ์ตูนทุกรูปแบบ ทายว่าคุณเป็นคนอารมณ์กุ๊กกิ๊กแบบเด็กๆ (ที่ไม่ยอมโตสักที) นิสัยสนุกสนานมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขันและช่างฝันอีกต่างหาก

ลายปัก
หรือผ้าปูที่นอนแบบแฮนด์เมด แสดงว่าเป็นคนรอบคอบละเอียดถี่ถ้วน และระมัดระวังตัวสูง ก่อนจะลงมือทำอะไรจะต้องผ่านการไตร่ตรองมาแล้วหลายรอบ และแน่นอนว่าคุณเป็นคนรักบ้านและรักงานศิลปะด้วย

สีพื้น
เป็นผ้าปูที่นอนที่ไม่มีลวดลายเลย บอกได้ว่าคุณเป็นคนเรียบง่าย ชอบความมั่นคงและติดเป็นคนเจ้าระเบียบสักหน่อย ดูจริงจังไปทุกเรื่อง ยิ่งเจ้าของผ้าปูที่นอนชอบสีขรึมๆ นั้น โอ!! ทำไมคุณถึงซีเรียสได้ขนาดนั้น

ความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับ "ท่านอน"

ความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับ "ท่านอน"

คนสมัยก่อนจะมีความพิถีพิถันในการวางตัว มีมารยาทที่ดี บุคลิกที่สง่า ไม่มีใครมาตำหนิ ติติงลูกหลานได้ เพราะถ้าลูกหลานใครมีความประพฤติไม่ดี เขามักจะถามถึงพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทำให้บรรพบุรุษต้องมาหนาวๆ ร้อนๆ ไปกับพฤติกรรมของลูกหลานถ้าอบรมได้ดี เขาก็ถามหา เหมือนกันจะชมเชยไปถึง และก็จะกลายเป็นการการันตีได้เลยว่า ตระกูลนี้เป็นแบบนี้ ตระกูลนั้น เป็นแบบไหน ฉะนั้นการอบรมลูกหลาน เขาก็จะมีข้อห้าม และข้อควรปฏิบัติมากมาย วันนี้จะมากล่าวถึงเรื่องการนอน

1. ห้ามนอนหงายฟ้าจะผ่า
ที่ห้ามนอนหงายเพราะเกรงว่าคนนอนไม่ระมัดระวัง เพราะคนนอนหลับจะไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ถึงความงาม หรือไม่งามของตนเองขณะหลับสนิท คนนอนหลับสนิท จึงไม่ต่างไปจาก คนนอนตายเลย บางคนนอนอ้าปาก น้ำลายไหล หลับตาไม่สนิท นอนผ้าเปิด คิดดูนะ ถ้าเป็นผู้หญิงสมัยก่อน ใส่ผ้าถุงนอนหงาย แล้วเปิดพัดลม อะไรมันจะเกิดขึ้น คนนอนข้างๆ คงไม่เป็นอันหลับอันนอนกันละนะ เพราะการนอนแบบนี้มีลุ้นนะ ถ้าเคยอ่านพุทธประวัติ จะเห็นว่า จากท่านอนนี้ มีผลทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ต้องปลง จนถึงออกบวชมาแล้ว และการที่บอกว่า นอนหงายแล้วฟ้าผ่า ก็เพื่อให้เด็ก ๆ กลัว ไม่กล้านอนหงาย เปลี่ยนเป็นนอนตะแคง ซึ่งผิดจากหลักการแพทย์ปัจจุบัน ที่แนะนำให้ นอนหงาย เพราะเป็นท่านอนอิสระ ไม่ทับเส้นสาย ทำให้นอนหลับสบาย และต้องไม่หนุน หมอนสูง ยิ่งถ้าใครนอนราบกับพื้น โดยไม่ต้องใช้หมอน จะทำให้ไม่แก่เร็ว เพระผิวหน้า และลำคอ จะไม่ย่นเหมือนนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่ง แต่ถ้าตามหลักความจริง ท่าจะนอนให้สบายคือนอนตะแคงขวา และกอดหมอนข้าง ท่านี้จะเป็นท่าที่นอนสบาย และหลับสนิท และไม่ดูน่าเกลียดเหมือนนอนหงายเพราะดูแล้วไม่งามตา

2. ห้ามนอนคว่ำ - ใจดำ
การนอนคว่ำจะทำให้เราไม่เห็นหน้าใคร และใครก็ไม่เห็นหน้าเรา ถึงเห็นก็เห็นไม่ถนัด ทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เหมือนกับไม่สนใจใคร เป็นการตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ จริง ๆ แล้ว การนอนคว่ำไม่ดีตรงที่ว่า ผู้ใหญ่มีน้ำหนักตัวมาก อายุมาก เส้นเอ็นก็ยืด ถ้าไปนอนคว่ำ จะทำให้นอนไม่สบาย หลับไม่สนิท จะตื่นมาด้วยความไม่สดชื่น ปวดเมื่อยตามเนื้ตามตัว คอเคล็ด ปวดแขนเพราะนอนทับ หรือนอนหันหน้าไปทางใดทางหนึ่งโดยตลอด ไม่มีการพลิกตัว แต่ท่านอนคว่ำนี้ จะใช้ได้ดีกับเด็กทารก เพราะเขาจะนอนหลับสนิท หัวก็จะทุยสวยไม่บี้แบนเหมือนเด็กที่นอนหงาย เด็กนอนคว่ำจะไม่ผวา และนอนนาน คนไทยได้ชื่อว่า เป็นคนใจดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่พอบอกว่าคนนี้ใจดำ จะแทงใจคนที่ถูกว่า รู้สึกว่าเป็นคนไม่น่าคบ พอมาห้ามนอนคว่ำ เลยบอกว่าถ้านอนคว่ำเป็นคนใจดำ ทำให้ไม่กล้านอน

3. ห้ามนอนไขว่ห้างกระดิกขาวาสนาไม่ดี
คนบางคนเวลานอนหรือเอนหลังเวลาบ่ายๆ หรือเวลาว่างชอบนอนเอกเขนก คือนอนไขว่ห้างแล้วตาก็มองเพดานเท้าก็กระดิกเป็นอาการที่สบายกายสบายใจ ผู้นอนจะปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่อาจจะฮัมเพลงแล้วกระดิกเท้าให้เข้าจังหวะ ถ้าเผลอหลับไปก็เป็นท่านอนที่ไม่ค่อยสุภาพ หรือถ้าไม่หลับมีใครมาพบเห็นว่ากระดิกเท้าอยู่ก็ทำให้ดูไม่งามตา ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วก็อยากมีชีวิตที่สุขสบายสมบูรณ์ในชีวิต แต่ถ้ามีคนมาทักว่าเออนอนแล้วกระดิกขาเนี่ยนะเธอจะมีวาสนาไม่ดีไม่รุ่งเรือง ในชีวิตจะต้องลำบากนะ ก็ทำให้กลัวไม่กล้าทำกิริยาแบบนี้ เพราะไม่ว่าใคร ก็คงไม่อยากลำบากและชีวิตไม่รุ่งโรจน์

4. ห้ามนอนเสมอหรือสูงกว่าผู้ใหญ่จะเป็นบาป
การดำเนินชีวิตสมัยก่อนเด็กจะต้องเคารพนบนอบผู้ใหญ่ จะมาทำตีตัวเสมอ ปากกล้าเถียงด่าผู้ใหญ่ไม่ได้เด็ดขาด เขาจะปลูกฝังแม้กระทั่งท่านอนให้เด็กนอน ต่ำกว่าผู้ใหญ่ซึ่งก็เป็นการดีเพราะถ้านอนไปดึกๆ แล้วดิ้นก็คงไม่เตลิดออกไปนอกมุ้ง เพราะเมื่อก่อนเขายังไม่มีมุ้งลวดเหมือนปัจจุบัน และถ้าเด็กนอนสูงกว่าผู้ใหญ่ก็จะไม่ดี ตรงที่ว่าถ้าเขาดิ้นเอามือเอาเท้าไปฟาดหน้าฟาดหัวผู้ใหญ่ ถ้าฟาดแรงจนเจ็บ ก็จะทำให้เกิดอาการโมโหทำให้การหลับนอนไม่ราบรื่นเท่าที่ควร

5. ห้ามนอนเอาขาพาดหน้าต่าง ผีเหย้าผีเรือนจะชัง
คนบางคนเคยตัวจริง ๆ เวลานอนจะต้องกอดต้องเกยต้องปีนป่ายอะไรสักอย่าง ไม่งั้นนอนไม่หลับ จนคนอื่น ๆ ทนไม่ได้ขอแยกห้องนอนเพราะรำคาญ พอจะหลับๆ ก็เจอลูกลงปึ้กเข้าให้อ้าว ตื่นนอนลืมตาโพลง ทีนี้กว่าจะข่มตาหลับได้ก็อีกพักใหญ่ๆ น่ะแหละ การนอนเอาขาพาดขอบหน้าต่างก็เป็นได้ คือเรือนไทยสมัยก่อนขอบประตูหน้าต่างจะอยู่ต่ำ ๆ เพราะบานประตูหน้าต่างจะยาวและแคบเป็น 2 บานประกบ ไม่กว้างและใหญ่เหมือนเดี๋ยวนี้ พอนอนหงายหนุนหมอนได้ที่ก็เอาเท้าพาดปั๊บลงล็อกพอดี ใครเดินผ่านบ้านนี้ก็มองเข้ามา แทนที่จะเห็นหน้าเจ้าของบ้านโผล่หน้าต่างก็กลายเป็นเห็นเท้าแทน แล้วใครละจะอยากมอง มาทางหน้าต่างของบ้านหลังนี้อีก เพราะคนในบ้านนอนทุเรศเหลือเกิน จะเตือนก็คงบ่อย จนเมื่อยปากเลยเอาผีสางมาช่วยชะหน่อย ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้ใครเกลียดอยากเป็นที่รัก และสุดที่รักด้วยกันทั้งนั้นแม้แต่ผีก็ยังไม่อยากให้เกลียดก็ทำให้เลิกนอนท่านี้ได้ง่ายๆ

6. ห้ามนอนเอามือประสานกันรองหัวจะตายโหง
การนอนท่านี้ผู้นอนต้องนอนหงายก็เป็นท่านอนที่ไม่ค่อยสวยงามนักในสายตาของผู้ใหญ่ แล้วถ้านอนเอามือประสานกันรองหัวแทนที่จะใช้หมอนหนุนให้เรียบร้อยก็เป็นการ ส่อแสดงนิสัยของผู้นอนว่าเกียจคร้านแค่จะหาหมอนมาหนุนก็ขี้เกียจ และก็เอามือประสานรองหัวนอนแบบนี้ก็จะทำให้นอนทับเส้นสายพอตื่นมาจะมีการชา ปวดตามกระดูก ตามข้อทำให้นอนได้ไม่นานต้องเปลี่ยนท่านอน นอนหลับไม่สนิทเป็นท่านอนที่เด็กๆ ไม่ควรเห็นและนอนตาม

7. ห้ามนอนขวางกระดานจะเป็นคนขวางโลก
เรือนไทยสมัยก่อนพื้นบ้านจะเป็นไม้กระดานแผ่นใหญ่ๆ ไม่ใช่ไม้รางลิ้นหรือปาเก้ เหมือนเดี๋ยวนี้ บางบ้านปัจจุบันไม่มีไม้เลย มีแต่วงกบประตูหน้าต่างเท่านั้น บานประตู ก็เป็นไม้อัดเพราะว่าไม้หายากและมีราคาแพง คนจึงหันมาปลูกตึกอยู่แทนจนมีคำพูดว่า "สมัยนี้คนรวยอยู่บ้านไม้" เพราะไม้หายากและแพงนั่นเอง พื้นบ้านสมัยก่อนเป็นไม้กระดานแผ่นใหญ่ๆ พอเวลานอนก็จะถูให้สะอาดแล้วก็นอนได้เลย แต่ผู้ใหญ่จะบอกให้นอนตามความยาวของแผ่นกระดานไม่ให้นอนขวางแผ่นกระดาน และถ้าหากใครนอนแบบนี้ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขวางโลกนอนไม่เหมือนชาวบ้านเขา การนอนแบบนี้ถ้ากระดานไม่เรียบมีร่องมีรูก็จะทำให้เจ็บเนื้อเจ็บตัว และตามร่องกระดาน จะมีเศษฝุ่นผงไปคาอยู่ทำให้บรรดาสัตว์เล็กๆ เช่น ไร เรือด ไปอาศัยอยู่ถ้าใครนอน มันก็จะขึ้นมากัดได้ และที่สำคัญการนอนตามกระดานทำให้ไม่ดูขัดนัยน์ตาของผู้พบเห็น จริงๆ แล้วเป็นการฝึกความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่า

8. ห้ามนอนกอดอกเป็นลางร้าย
การห้ามนอนท่านี้คงจะสืบเนื่องมาจากการไปงานศพมาแน่ ๆ เพราะตามชนบท การจัดทำพิธีศพ เป็นเรื่องธรรมดาไม่น่ารังเกียจใครๆ ก็จะเข้าไปดูได้ตั้งแต่อาบน้ำศพ มัดตราสังข์ และเปิดให้ดูหน้าครั้งสุดท้ายก่อนเผา และการนอนกอดอกหรือเอามือประสาน ไว้บนอกนี้ก็เหมือนท่านอนของคนตายแล้วเขามัดตราสังข์ไว้ เมื่อเป็นท่านอนที่ไม่ค่อยโสภา จึงห้ามนอนโดยให้หันไปนอนตะแคงหรือนอนกอดหมอนข้างแทนซะให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

โดย พจมาน นำสินวิเชษฐชัย
นิตยสารแม่และเด็ก

(^.^) ทายนิสัย...จาก...ท่านอน (^.^) เวอร์ชัน 1

ทายนิสัยจากลักษณะท่านอน


นอนคุดคู้
สำหรับคนที่มีท่านอนแบบคุดคู้นี้ มักเป็นคนที่ชอบอยู่กับความหลัง มีชีวิตอยู่กับวันเก่าแสนสวยงามที่เคยผ่านมา เป็นคนขี้เหงา เศร้าง่าย ต้องการรักแท้และความอบอุ่นจากใครสักคนที่รักจริง แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่ชอบเปิดเผยตัวเองกับคนอื่น มีความหวาดระแวงและลังเลสูง เมื่อพบกับปัญหาหรือเรื่องไม่สบายใจ มักจะหนีไปอยู่ในโลกแห่งความฝันที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

นอนคว่ำ
ท่านอนคว่ำหน้านี้เป็นลักษณะของคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง หาจุดยืนที่แน่นอนของตัวเองไม่ค่อยได้ ใครว่ามายังไงก็พลอยแต่จะไปอย่างนั้นตามเขา ต้องการที่พึ่งพาทางใจสูง แต่ก็เป็นคนร่าเริง รักความสนุกสนาน ใครอยู่ใกล้ๆ มักรู้สึกถึงความชื่นบาน และยังมองโลกในแง่ดี เพียงแต่มีความต้องการจะครอบครองหรือเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป

นอนหงาย
คนที่นอนหงายนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมาก จะวู่วามและใจร้อนมากไปหน่อย ไม่ค่อยเกรงกลัวอะไร เตรียมพร้อมเสมอกับการปะทะพบเจอกับปัญหา แต่จะไม่รอบคอบเท่าที่ควร เป็นคนมีบุคลิกแข็งแรง ชอบสิ่งเปิดเผยและความแปลกใหม่ที่ไม่ซ้ำซากจำเจ เป็นคนที่ได้รับความสนใจจากคนอื่นๆ สูง มีเสน่ห์แบบแปลกๆ ไม่เหมือนใคร

นอนตะแคงข้าง
ส่วนท่านอนท่านี้บ่งบอกถึงความเป็นคนอารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน ท่าทางง่าย ๆ สบาย ๆ ทำให้คนชอบเข้าหา เพราะบุคลิกดูอบอุ่น ไม่น่ากลัว แล้วยังเป็นคนที่ปรับตัวเก่ง ไม่มีปัญหาอะไรถ้าต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ลักษณะนิสัยอีกอย่างคือเป็นคนโกหกไม่เป็น จะรู้สึกโกรธเสียใจมากถ้าโดนใครโกหก และยังเป็นคนที่รักษาคำมั่นสัญญา เคยพูดอะไรกับใครไว้รับรองไม่ลืมแน่ จิตใจมั่นคงดีนักล่ะ

นอนเอาขาก่ายกัน
ท่านอนแบบนี้เป็นท่าของคนมีอดีตชอบนอน มักชอบยึดติดอยู่กับเรื่องต่าง ๆ ที่เคยผ่านเข้ามา ไม่ใช่คนกล้ายอมรับความเปลี่ยนแปลง และหมกมุ่นกับเรื่องราวของตัวเองมากจนเกินไป ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบที่จะเผชิญหน้ากับอะไรใหม่ๆ นัก แต่เป็นคนอดทน ถึงแม้ไม่ชอบใจก็ยังมีความอดทนทำในสิ่งนั้นต่ออย่างเงียบๆ โดยไม่เรียกร้อง เพราะเป็นคนมีนิสัยไม่ชอบแข่งขันกับใคร

นอนงอขางอแขน
คนที่มีท่านอนแบบงอแขนงอขานั้นเป็นคนที่มีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ติดไปทางใจร้อนวู่วามเอามากๆ จะชอบบังคับบัญชาคนอื่น เผด็จการ แต่ก็เป็นเผด็จการที่ใจดี โกรธง่ายหายเร็ว ตามประสาคนอารมณ์วูบวาบ เห็นใจคนทั่วไป และมองโลกในแง่ดี แล้วก็ชอบการแสดงออกเอามากๆ

นอนเอามือไพล่กันรอบศีรษะ
เป็นคนเฉลียวฉลาด ไหวพริบดี อ่านใจคนเก่ง ชอบการเรียนรู้และใช้ความคิด แต่บางทีก็เป็นความคิดที่คนทั่วไปตามไม่ค่อยทัน เพราะแปลกแหวกแนวเกินไป มีความอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องรักด้วย แต่ว่าจะรักคนยากอยู่สักหน่อย เพราะไม่ค่อยมองเห็นความสำคัญของความรัก แต่จะให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวมากกว่า

นอนคลุมโปง
ท่านอนคลุมโปงนี้เป็นท่าของคนที่ดูภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นคนน่าเชื่อถือ ดูใจคอมั่นคง เข้มแข็ง แต่ว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนใจคออ่อนแอและขี้อายมาก เจอกับปัญหาเมื่อไหร่จะวิตกกังวลวุ่นวายไม่ยอมเลิก ไม่ใช่คนกล้าหาญ คิดอะไรก็มักเก็บเอาไว้ในใจ ชอบหรือไม่ชอบก็ไม่มีใครรู้ เก็บความลับเก่ง และไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์ ชอบอยู่ในที่ที่ตัวเองคุ้นเคย เพราะไม่ใช่คนปรับตัวเก่ง

ที่มา http://www.narak.com/

09 กรกฎาคม 2551

(^.^) ทายนิสัย...จาก...ท่านอน (^.^) เวอร์ชัน 2

(^.^) ท่านอน...บอกนิสัย (^.^)


ท่าที่ 1 นอนหงาย กางแขนกางขา:
ช่างรักอิสระเสรี อะไรขนาดนั้น ท่านอนบ่งบอก ความเป็นตัวของตัวเอง อย่างแรง รักความสะดวกสบาย รักสวยรักงาม จับจ่ายใช้สอย สุรุ่ยสุร่าย แต่ก็หาเงินเก่งพอๆ กัน ที่แย่หน่อยคือ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และสนุกกับ การตั้งสโมสร ซะด้วยซิ...








ท่าที่ 2 นอนเอาขาไขว้กันแบบไขว่ห้าง:
ท่านว่า คนที่นอนท่านี้ ไม่ค่อยกล้ายอมรับ ความเปลี่ยนแปลงใดได้ง่ายๆ แถมยังชอบ หมกมุ่นอยู่กับ เรื่องของตนเอง รักที่จะอยู่คนเดียว ข้อดีก็คือ ช่างมีน้ำอดน้ำทน กับเรื่องรอบๆ ตัวได้ดีจริงๆ








ท่าที่ 3 นอนเอามือไพล่ประสานกัน รองศรีษะ:
เขาว่า คนนอนท่านี้เป็นนิจ เป็นคนฉลาด ปราดเปรื่อง ปัญญาเฉียบแหลม ชอบเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ไม่รู้จบ บางครั้ง ก็มีความคิด แปลก แหวกแนว ที่ชาวบ้านตามไม่ทัน เป็นคนน่ารัก ที่ให้ความสนใจครอบครัว อยู่เสมอ... แต่มันสำคัญที่ว่า... ช่างเป็นคนที่ รักคนยาก ซะเหลือเกิน... ช่างเลือกเกินไปหรือเปล่า?






ท่าที่ 4 นอนคว่ำ:
ถ้านอนท่านี้ ได้ทั้งคืน ก็ให้รีบสำรวจได้แล้วว่า เป็นคน ใจคอคับแคบ หรือเปล่า มักจะเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ และต้องการให้ ใครต่อใคร ทำตามความต้องการของตัวเองอยู่เสมอๆ แถมยังเป็น คนสับเพร่า จับจดเสียด้วยนะ........รีบเปลี่ยนท่านอนซะเถอะ







ท่าที่ 5 นอนตะแคง:
ท่านี้ เป็นท่านอนของคนที่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และไม่ว่าจะทำงานอะไร ก็มักจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ด้วยความอุตสาหะ มานะ พยายาม อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านว่า คนที่ชอบ นอนตะแคงขวา เหยียดแขนขวา ไปเหนือศรีษะละก็... อำนาจวาสนา ดีนักแล...?







ท่าที่ 6 นอนตะแคงงอขาขึ้นข้างหนึ่ง ส่วนขาอีกข้างเหยียดตรงปกติ:
ไม่ดีละมั้ง... ท่านว่า ขี้ระแวง สงสัยอยู่ไม่สร่าง โดยไร้เหตุผล จู้จี้ขี้บ่นไม่รู้เวลา นอกจากจะขาด ความเป็นตัวของตัวเองแล้ว อาจจะพาลเป็น โรคประสาทได้ง่ายๆ... ทั้งตัวเอง และคนข้างเคียงน่ะแหล่ะ!








ท่าที่ 7 นอนงอตัว:
นี่ก็อีกคน... น่าจะเป็น คนขี้อิจฉาตาร้อน กลัวใครเขา จะได้ดีไปกว่าตนซะหมด พูดง่ายๆ ก็คือ ค่อนข้างจะเป็น คนเห็นแก่ตัวอย่างแรง แถมยัง เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบพยาบาทรุนแรงด้วยนะ... ระวังหน่อย!








ท่าที่ 8 นอนทับแขนตัวเอง:
คนนี้ตรงกันข้ามกับ คนนอนงอตัว ท่าที่ 7 เลย... ช่างสุภาพอ่อนโยน จริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก อะไรจะปานนั้น... แต่ดูเหมือน จะมีกรรมมาบัง เพราะเขาจะเป็นคนที่ ขาดความมั่นใจในตนเอง และขาดความอบอุ่นในชีวิต.. น่าสงสารนะ








ท่าที่ 9 นอนคุดคู้ เหมือนแมวนอน:
เป็นคนขี้เหงาอย่างแรง ซึมเศร้าง่าย เพราะไปฝังใจกับเรื่องเศร้าๆ เรืองผิดหวัง หรือสูญเสียในอดีต เป็นคนขี้ระแวง และมีความลังเล ไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกว่า ขาดความรักความอบอุ่น.. เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม








ท่าที่ 10 นอนคลุมโปง:
เชื่อไหมว่า ภายนอก เขาคนนี้อาจจะดูผึ่งผาย น่าเชื่อถือมาก แต่ลึกลงไปแล้ว เขาขี้อาย จิตใจอ่อนแอ... เขาชอบมีความลับ และเก็บความลับเก่งด้วยนะ มีอะไร ก็จะแอบเก็บไว้ในใจ แล้วเก็บเอาไปกังวล วุ่นวายใจ วนเวียนอยู่กับปัญหานั้น คนเดียว ไม่รู้จบรู้สิ้นสักที... ไม่รู้ว่า นอนขมวดคิ้วนิ่วหน้า ด้วยรึเปล่า?







ท่าที่ 11 นอนเอามือจับอวัยวะเพศของตัวเอง:
คนนี้มาแปลก... ท่านว่า จะชอบหมกมุ่น อยู่ใน กามารมณ์ มีความต้องการทางเพศสูง ใจร้อน โกรธง่ายหายเร็ว รักใครหลงใครละก็ เป็นได้หัวปักหัวปำ แบบกู่ไม่กลับ ทั้งๆ ที่เป็น คนมีสติปัญญา เฉลียวฉลาด อยู่หรอกนะ








ท่าที่ 12 นอนละเมอ:
จะซีเรียสอะไรกันได้ขนาดนั้น ก็ไม่รู้... เขาเป็นคนคิดมาก ยังฝังจิตฝังใจกับ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ยอมลีม... สังเกตดีๆ จะเห็นว่า เขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง และจะคล้อยตามคนอื่นอยู่เสมอ... ถ้าเขาละเมอบ่อยมาก และรุนแรงขึ้นละก็ น่าจะเตือน ให้เขาปรึกษาแพทย์ หรือผู้รู้ซะได้แล้ว







ท่าที่ 13 นอนกัดฟัน:
นี่ก็คนเก็บกด... โบราณว่า เป็นคนอาภัพ ซึ่งเขาอาจจะ คิดไปเอง ก็เลยอมทุกข์ เก็บกดความทุกข์ไว้ในใจ หน้าฉากอาจจะดูรื่นเริง แต่แอบไปนอนกัดฟันกรอดๆ ทุกคืน... ปล่อยวางซะบ้างเถอะ จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิต








ท่าที่ 14 นอนอ้าปาก:
ชวนเขา ไปตรวจสุขภาพร่างกายบ้างเถอะ เพราะ โบราณท่านว่า คนนอนท่านี้ มักจะมีโรคภัยเบียดเบียน ให้สุขภาพไม่แข็งแรง เดี๋ยวจะพาลอายุไม่ยืนซะเปล่าๆ









ท่าที่ 15 นอนลืมตา
ถ้าไม่ได้เป็นผลมาจาก ทำตา 2 ชั้น ละก็ ท่านให้ระวัง จะถูกใส่ร้าย ใส่ความ หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ เตือนๆ ให้ระมัดระวัง รอบคอบ อย่าประมาท ก็แล้วกันนะ

Quiz# 1 ฐานข้อมูลเบื้องต้น





08 กรกฎาคม 2551

อันตรายจาก(อะ)ไร

อันตรายจากไร...ฝุ่น ภัยร้ายที่อยู่ในบ้านเรือน


ไรฝุ่นเป็นสัตว์ที่เล็กมาก มีขนาด 0.1 – 0.5 มิลลิเมตร ชอบอาศัยในช่วงอุณหภูมิ 25 – 30 องศาเซลเซียสและความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 75 – 80 ไรฝุ่นชอบอาศัยอยู่ตามเตียงนอน (ฟูก) หมอนและผ้าห่มมากที่สุด (ร้อยละ 90 – 100) รองลงมาได้แก่ อาศัยตามเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ (ร้อยละ 70 – 95) เคยมีรายงานในปี พ.ศ. 2547 ที่นำตัวอย่างที่นอนจากผู้พักอาศัยในจังหวัดต่างๆ รวม 15 จังหวัดมาศึกษาปริมาณไรฝุ่น พบว่า ที่นอนของกลุ่มตัวอย่างในเขตคลองสานกรุงเทพมหานคร จะพบไรฝุ่นมากที่สุด โดยในฝุ่น 1 กรัมจะมีไรฝุ่น 10,216 ตัว ส่วนที่นอนที่ทำจากนุ่นจะพบไรฝุ่นมากที่สุด (63 ตัวต่อฝุ่น 1 กรัม) รองลงมาได้แก่ที่นอนฟองน้ำใยสังเคราะห์ (34 ตัวต่อฝุ่น 1 กรัม) ส่วนที่นอนใยมะพร้าวพบไรฝุ่นน้อยที่สุด (10 ต่อฝุ่น 1 กรัม)

ลายท่านอาจสงสัยว่าไรฝุ่นเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร จึงมีการแพร่พันธุ์อยู่ได้ จากการศึกษาพบว่า ไรฝุ่นจะใช้อาหารที่ได้จากร่างกายของเรา กล่าวคือ ในขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะขับของเหลวและสารอื่นๆ ออกมาในรูปของเหงื่อ ไขมันและขี้ไคล สิ่งเหล่านี้จะปนเปื้อนอยู่ตามผิวหนังและชิ้นส่วนของผ้าต่างๆ และไรฝุ่นได้ใช้สารเหล่านี้เป็นอาหารในการเจริญ โดยเศษผิวหนังหรือขี้ไคล 1 กรัม สามารถเลี้ยงไรฝุ่นจำนวน 1,000,000 ตัว ได้นานถึงหนึ่งสัปดาห์ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงมีไรฝุ่นจำนวนมากตามที่นอน นอกจากนี้ถ้าหากสภาพภายในห้องนอนร้อนอบอ้าวและมีความชื้นสูงจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ไรฝุ่นขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

สำหรับอันตรายจากไรฝุ่นจะทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นมา สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นจะพบในมูลหรืออุจจาระ เมื่อมูลของไรฝุ่นแห้งก็จะฟุ้งกระจายเป็นอนุภาคเล็กๆ แพร่ปนเปื้อนในอากาศ เมื่อหายใจนำฝุ่นละอองเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายเป็นเวลานานๆ จะก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ เช่น โรคหอบหืดหรือเยื่อบุจมูกอักเสบ โดยอาการที่ปรากฏ ได้แก่ เวียนศีรษะ ไอ จาม โพรงจมูกอักเสบ ตาแดง น้ำตาไหล น้ำมูกไหล หายใจไม่สะดวก แน่น อึดอัดบวมในคอหรือทางเดินหายใจหรือหลอดลมตีบตัน ถ้าหากอาการรุนแรงอาจถึงขั้นช็อคและเสียชีวิตได้

ารป้องกันโรคภูมิแพ้จากไรฝุ่นที่สำคัญก็คือ การหลีกเลี่ยงไม่ให้สัมผัสกับไรฝุ่นหรือได้รับฝุ่นละอองจากมูลไรฝุ่น วิธีการที่สำคัญก็คือพยายามทำลายไรฝุ่นด้วยการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย เช่น การนำผ้าห่ม หมอนที่นอนและผ้าอื่นๆ ออกผึ่งแดดอยู่เสมอจะทำลายไรฝุ่นหรือทำให้สภาพความชื้นลดลงจนไรฝุ่นไม่สามารถเจริญได้

ารซักและทำความสะอาดเครื่องนอน (เช่น ผ้าห่ม ปลอกหมอ ผ้าปูที่นอน ฯลฯ) เป็นประจำก็จะช่วยทำลายไรฝุ่นได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การทำความสะอาดอาคารบ้านเรือนเพื่อลดจำนวนฝุ่นละอองก็เป็นวิธีการกำจัดไรฝุ่นเช่นกัน

รคภูมิแพ้จากไรฝุ่นกำลังมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นและเป็นภัยร้ายที่อยู่ในบ้านเรือนของเรา ดังนั้นทุกคนจึงควรช่วยกันกำจัดไรฝุ่น เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้ การกระทำดังกล่าวก็เพื่อช่วยกันดูแลสุขภาพของตนเองและบุคคลในครอบครัวให้ปลอดภัยจากโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากไรฝุ่นนั่นเองค่ะ

นอนกรน...อันตรายจริงไหม

นอนกรน......มีสาเหตุจากอะไร
สาเหตุของโรคนอนกรน



ในผู้ใหญ่ อาการนอนกรน มักมีสาเหตุมาจาก


อายุ เมื่ออายุมากขึ้น เนื้อเยื่อต่างๆ จะขาดความตึงตัว ลิ้นไก่ยาวและเพดานอ่อนห้อยต่ำลง กล้ามเนื้อต่างๆ หย่อนยาน รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอ ทำให้ลิ้นไก่และลิ้นตกไปบังทางเดินหายใจได้ง่าย

เพศ ประมาณร้อยละ 85 ของผู้ป่วยเป็นเพศชาย ทั้งจากการศึกษาทางระบาดวิทยาและการศึกษาผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม พบว่าเพศชายมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศหญิง ด้วยอัตราส่วน 7:1 แต่เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนพบว่าเพศหญิงมีโอกาสเป็นมากขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าฮอร์โมนเพศจะมีผลต่อโรคนี้ได้ เชื่อว่าอิทธิพลของฮอร์โมนส่งผลที่โครงสร้างบริเวณศีรษะและลำคอของเพศชาย เนื้อเยื่อบริเวณคอหนาขึ้นทำให้มีช่องคอแคบกว่าผู้หญิง ฮอร์โมนของเพศหญิงมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจ มีความตึงตัวที่ดี

ลักษณะโครงสร้างของกะโหลกศีรษะและกระดูกใบหน้าผิดปกติ เช่น คางเล็ก คางเลื่อนไปด้านหลัง ลักษณะคอยาว หน้าแบน ล้วนทำให้ทางเดินหายใจช่วงบนแคบลงเกิดการอุดตัน และทำให้เกิดการหยุดหายใจได้ โรคที่มีความผิดปกติบริเวณนี้ได้แก่ Down's syndrome , Prader Willi syndrome , Crouzon's syndrome เป็นต้น

กรรมพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ไม่อ้วน แต่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ปัจจัยทางพันธุกรรมน่าจะเป็นสาเหตุหลักของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากกว่าคนปกติ 1.5 เท่า

โรคอ้วน พบว่าประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วย OSAS มี Body Mass Index (BMI) > 28 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือมีน้ำหนักมากกว่าร้อยละ 20 ของน้ำหนักมาตรฐาน เมื่อลดน้ำหนักได้ 5-10 กิโลกรัมจะทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นได้ ผู้ป่วยที่อ้วนมีโอกาสเกิดการหยุดหายใจขณะหลับมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากไขมันนอกจากจะกระจาย อยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย เช่น ที่สะโพก หน้าท้อง น่อง ต้นขา ยังพบว่ามีเนื้อเยื่อไขมันกระจายอยู่รอบๆทางเดินหายใจช่วงบนมากขึ้น ไขมันที่พอกบริเวณคอจะทำให้เวลาที่ผู้ป่วยนอนลง เกิดน้ำหนักกดทับ ทำให้ช่องคอแคบลงได้ หน้าท้องที่มีไขมันเกาะอยู่มากทำให้กระบังลมทำงานได้ไม่เต็มที่ ความจุของปอดลดลง ล้วนเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดการหยุดหายใจได้โดยง่ายขึ้น

แน่นจมูกเรื้อรัง จมูกเป็นต้นทางของทางเดินหายใจ ถ้ามีภาวะใดก็ตามที่ทำให้แน่นจมูกเรื้อรัง เช่นมีผนังกั้นจมูกคด เยื่อบุจมูกอักเสบเรื้อรัง หรือเนื้องอกในจมูก ย่อมจะทำให้การหายใจลำบากขึ้น

ดื่มสุรา หรือการใช้ยาบางชนิด จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมทั้งกล้ามเนื้อที่คอยพยุงช่องทางเดินหายใจให้เปิด หมดแรงไป เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดตันได้ง่ายขึ้น นอนจากนี้จะกดการทำงานของสมอง ทำให้สมองตื่นขึ้นมาเมื่อมีภาวะการขาดออกซิเจนได้ช้า ซึ่งอาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อหัวใจและสมองได้

การสูบบุหรี่ ทำให้ประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจแย่ลง ทำให้คอหอยอักเสบจากการระคายเคือง มีการหนาบวมของเนื้อเยื่อ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง เกิดการอุดตันได้ง่าย และยังส่งผลเสียต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ

โรคต่อมไร้ท่อต่างๆ ได้แก่ Hypothyroidism, Acromegaly พบว่าทำให้เกิดทางเดินหายใจอุดตันได้มากกว่าคนทั่วไป


ในเด็ก อาการนอนกรน มักมีสาเหตุมาจาก


ต่อมทอนซิล (ที่เห็นอยู่ข้างลิ้นไก่ในคอทั้งสองข้าง) มีขนาดโตมาก เพราะมีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังของบริเวณช่องคอ

ต่อมอะดินอยด์ (อยู่บริเวณด้านหลังโพรงจมูก) มีขนาดโตมาก เพราะมีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังของบริเวณช่องจมูก รวมทั้งโพรงไซนัส

ภาวะจมูกอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ เพราะเป็นเหตุให้แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก ต้องอ้าปากช่วย ยิ่งทำให้นอนกรนได้มากขึ้น

ไซนัสอักเสบ โดยเฉพาะไซนัสอักเสบเรื้อรัง จะมีน้ำมูกข้น และจมูกบวม ทำให้หายใจทางจมูกไม่สะดวก จึงนอนกรนได้

ภาวะที่มีเนื้องอกในโพรงจมูก เช่น ริดสีดวงจมูก หรือมีผนังกั้นจมูกคด ซึ่งมักเกิดร่วมกับเยื่อบุจมูกบวมโต ทำให้หายใจทางจมูกไม่สะดวก จึงนอนกรน

ในบางราย มีความผิดปกติแต่กำเนิด ทำให้กระดูกใบหน้าเล็ก หรือมีเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจใหญ่ เช่นมีลิ้นโต เป็นสาเหตุให้มีภาวะอุดตันของทางเดินหายใจได้ขณะนอนหลับ


นอนกรน......เกิดได้อย่างไร
อาการนอนกรนนี้ คนปกติสามารถเป็นได้ไหม ??


คำตอบทางการแพทย์ถือว่า การนอนกรนเป็นสิ่งผิดปกติ คนทั่วไปเข้าใจว่าคนมีอายุ อาจนอนกรนบ้างเวลาหลับสนิทและเป็นเรื่องธรรมดา อันนี้ไม่ถูกต้อง แท้ที่จริงแล้ว นอนกรนเป็นอาการที่ชี้บ่งว่าทางเดินหายใจของคนๆ นั้นแคบ เวลาลมหายใจผ่านบริเวณช่องคอตรงที่แคบนั้น จะเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเป็นเสียงกรน ยิ่งถ้ามีปัญหาแน่นจมูก ต้องอ้าปากเวลานอน จะยิ่งทำให้นอนกรนได้มากขึ้นไปอีก

นอนกรนชนิดไม่อันตราย (Simple snoring)
เกิดเพราะคนๆ นั้นมีช่องคอแคบกว่าปกติ เวลาเรานอนหงายและหลับสนิท (เป็นเวลาที่กล้ามเนื้อต่างๆ ทั่วร่างกายจะมีการคลายตัว รวมทั้งกล้ามเนื้อบริเวณช่องคอด้วย) ลิ้นและลิ้นไก่จะตกไปทางด้านหลัง ในคนปกติ เหตุการณ์นี้ก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไร เพราะทางเดินหายใจกว้างอยู่แล้ว แคบลงไปเล็กน้อย ก็ยังหายใจได้ดี จึงไม่มีเสียงกรน แต่ในคนที่กรน มีช่องคอแคบอยู่แล้ว ทางเดินหายใจส่วนนี้จะตีบแคบลงไปอีก เวลาลมหายใจผ่านตำแหน่งที่แคบ จะมีการสั่นสะเทือนของเพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือโคนลิ้น ทำให้เกิดเป็นเสียงกรน


ผู้ป่วยนอนกรนชนิดเป็นโรคหรือชนิดอันตราย (Obstructive sleep apnea syndrome หรือ OSAS) จะมีช่องคอแคบมาก จากเนื้อเยื่อเพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือลิ้น มีขนาดใหญ่และหย่อนยาน หรือมีคางสั้นมาก ผู้ป่วยกลุ่มนี้ มักมีเสียงกรนไม่สม่ำเสมอไปตลอดทั้งคืน เมื่อยังหลับไม่สนิทอาจจะเป็นเพียงกรนชนิดไม่อันตราย มีเสียงกรนสม่ำเสมอดี แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ มีลักษณะของการกลั้นหายใจ ตามด้วยการสะดุ้งหรือสำลักน้ำลาย หรือหายใจอย่างแรงเหมือนขาดอากาศ อาจเกิดขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยครั้งต่อคืน

ในขณะที่มีการหยุดหายใจ เนื่องจากทางเดินหายใจอุดตัน ออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ หลอดเลือด ปอด และสมอง ต่อมาภาวะทางเดินหายใจอุดตันซึ่งยังคงอยู่ จะทำให้ออกซิเจนในเลือดแดงลดต่ำลงมากถึงจุดอันตราย ร่วมกับมีการหายใจที่แรงมาก จนต้องใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจเพื่อพยายามให้ลมหายใจสามารถผ่านตำแหน่งที่ตีบตันไปให้ได้

ภาวะนี้จะกระตุ้นให้สมองที่กำลังหลับสนิทอยู่ต้องตื่นขึ้นมา (เจ้าตัวคนนอนมักจะจำไม่ได้ แต่คนที่นอนอยู่ใกล้ๆ อาจเห็นว่ามีการสะดุ้งหรือหายใจเฮือกอย่างแรง หลังจากหายใจไม่ออกหลายครั้ง) ทางเดินหายใจจะถูกเปิดขึ้นและทำให้ออกซิเจนสามารถผ่านเข้าไปในปอดได้อีก ตอนนี้เองออกซิเจนในเลือดแดงจะกลับสูงขึ้นมา แต่หลังจากนั้นไม่นาน สมองจะเริ่มหลับอีก การหายใจก็จะเริ่มขัดข้องอีกครั้ง แล้วปลุกสมองให้ตื่นขึ้นอีก วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ไปตลอดคืน ทุกคืน

ส่งผลให้สมรรถภาพการนอนหลับเสียไป เนื่องจากมีช่วงเวลาของการนอนหลับสนิทน้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น นอนไปได้ตั้ง 7-8 ชั่วโมง คนทั่วไปน่าจะทำให้นอนได้พอ แต่ผู้ป่วยโรคนอนกรนจะยังรู้สึกเหมือนยังนอนไม่อิ่มเลย รวมทั้งผลเสียที่มีต่ออวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด สมอง และปอด จะดำเนินไปเรื่อยๆ ตามลำดับ จนทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม